วัดพระนางสร้าง
วัดพระนางสร้างเป็นวัดประจำอำเภอถลาง นับเป็นวัดที่เก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต
วัดพระนามสร้าง ตั้งอยู่เลขที่ 148 บ้านตะเคียน หมู่ที่ 1 ตำบลเทพกษัตรีย์ อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 19 ไร่ 1 งาน 79 ตารางวา ส.ค. 1 เลขที่ 149 อาณาเขต ทิศเหนือยาว 4 เส้น 18 วา ติดต่อกับคูถนนบ้านดอน ทิศใต้ ยาว 5 เส้น 6 วา ติดต่อกับที่นา ทิศตะวันออกยาว 3 เส้น 15 วา ติดต่อกับถนนเทพกษัตรีย์ ทิศตะวันตกยาว 3 เส้น 17 วา ติดต่อกับคูและที่นา มีที่ธรณีสงฆ์ 8 แปลง เนื้อที่ 84 ไร่ 1 งาน 21 ตารางวา
พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบมีบริเวณสวยงามใกล้ตลาดสดถลาง มีโรงเรียนอยู่ในวัด 2 โรงเรียน อาคารเสนาสนะต่าง ๆ มี อุโบสถกว้าง 9.50 เมตร ยาว 17.50 เมตร เป็นอุโบสถหลังเก่าสร้างโดยใช้อิฐและปูนขาว บูรณะมาหลายครั้ง ส่วนอุโบสถหลังใหม่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ศาลาการเปรียญกว้าง 16 เมตร ยาว 24 เมตร สร้าง พ.ศ. 2512 กุฏิสงฆ์จำนวน 3 หลัง เป็นอาคารตึกและครึ่งตึกครึ่งไม้ นอกจากนี้มี หอฉัน หอระฆัง และฌาปนสถาน สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานปางสมาธิจำนวน 3 องค์ ภายนอกหุ้มด้วยปูนขาว พระเพลากว้าง 3 เมตร ภายในองค์พระทั้งสาม มีพระสมัยศรีวิชัยสร้างด้วยโลหะผสมอายุกว่า 1300 ปี เข้าใจว่าพอกปูนขาวเพื่อซุกซ่อนข้าศึกไว้ ทางวัดเพิ่งจะทราบในปี พ.ศ. 2526 นี้เอง ด้านหลังพระประธานมีพระพุทธไสยาสน์ยาว 3.50 เมตร เล่ากันว่ามีพระพุทธรูปทองคำอยู่ภายในองค์พระ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์
วัดพระนางสร้าง สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2301 ตามตำนานเล่ากันสืบมาว่า มเหษีของกษัตริย์เมืองใดไม่ปรากฏแน่ชัด ถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับมหาดเล็กจะถูกประหารชีวิต พระนางได้ขอผ่อนผันไปนมัสการพระบรมธาตุที่ศรีลังกาก่อน เมื่อกลับมาได้แวะที่เกาะถลาง และได้สร้างวัดขึ้นไว้แล้วเดินทางกลับ โดยที่พระนางมีเลือดสีขาวจึงเรียกกันว่า “พระนางเลือดขาว” และเรียกนามวัดว่า “วัดพระนางสร้าง” ชาวบ้านนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า “วัดนาสร้าง” ถือว่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ. 2310 ในด้านการศึกษา ทางวัดได้ให้ส่วนราชการสร้างโรงเรียนประถมศึกษา และให้เอกชนสร้างโรงเรียนประถมศึกษาด้วยเช่นกัน
ประวัติความเป็นมาของวัด เป็นแต่เรื่องเล่ากันมาเป็นตำนานจะหาหลักฐานที่แน่นอนมิได้ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง และกล่าวกันว่าไม่ใช่ท้าวเทพสตรี สร้างแน่นอน วัดนี้คงเก่าแก่กว่านั้นแน่นอน แต่จากเอกสารทั้งหมดของเมืองถลางที่มีปรากฏอยู่ที่ได้จากมหาวิทยาลัยลอนดอนนั้น ได้กล่าวชื่อวัดอยู่วัดหนึ่ง เขียนแบบเดิมว่า “ณ วัดน่าลาง” แต่ถ้าเขียนเป็นภาษาอ่านอย่างปัจจุบันจะเป็น “ณ วัดนาล้าง” หนังสือฉบับนี้ออกหลวงเพชรภักดีศรีภักดีศรีพิชัยสงครามยกกระบัตร มีไปถึงพระยาราชกปิตัน ว่า พระยาทุกขราช ว่า พระยาทุกขราชผู้ว่าราชการเมืองถลางสั่งมาว่าด้วยนายทองลีหลานท่านคุมเอาสิ่งของท่านพระยาราชกปิตันเข้าทูลเกล้าฯ ถวายมีตรารับสั่งตอบออกมา และให้เชิญท่านพระยาราชกปิตัน มาฟังตรารับสั่ง ณ วัดนาล้าง หนังสือออกมา ณ วันอาทิตย์เดือน 12 แรม 11 ค่ำ จุลศักราช 1147 ปีมะเส็ง นักบัตรสัปตศก (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2328) วัดน่าลาง จะต้องเป็นวัดสำคัญที่สุดของเมืองถลางหรืออาจกล่าวว่าเป็น “วัดฉลอง” ก็ได้มิเช่นนั้น คงจะไม่นำหนังสือตรารับสั่ง ไปอ่านที่วัดนี้แน่นอน เพราะการอ่าน “ตรารับสั่ง” หรือหนังสือจากสมเด็จพระมหากษัตริย์จะต้องกระทำด้วยความเคารพ ในที่ที่ควรเคารพและอาจจะให้ท่านเจ้าอาวาสรับรู้เห็นเป็นสักขีพยานด้วยก็ได้ จึงเป็นปัญหาน่าคิดว่าวัดนี้จะเป็นวัดเดียวกับวัดพระนางสร้างหรือไม่
อีกประการหนึ่งคำว่า “น่าลาง” น่าจะเป็น “หน้าถลาง” คือวัดหน้าเมืองถลางหรือชาวบ้านทั่วไป มักเรียกว่าวัดหน้าเมืองแต่ ในกรณีนี้อาจเรียกวัดหน้าเมืองถลาง วัดหน้าถลาง วัดหน้าลาง น่าลาง อีกกรณีหนึ่งวัดนาในหรือวัดพระทอง ส่วนอีกวัดหนึ่งน่าจะเป็นวัดนาล่าง ต่อมาจึงเป็นวัดนางสร้าง วัดพระนาง
ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่ง คือหลังจากเมืองถลางต้องย่อยยับลงใน พ.ศ. 2352 นั้น พม่าได้กวาดต้อนผู้คนทรัพย์สินไปเป็นอันมาก เมื่อพม่า ลงเรือไปแล้ว เมืองถลางคงเป็นเมืองร้างมาหลายปี พระสงฆ์กับชาวบ้านจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน เมื่อชาวบ้านไม่มีวัดก็เห็นจะต้องร้างไปพักหนึ่งแน่นอน เมื่อผู้คนอพอยกลับมาอยู่ตามเดิม ก็คงได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เข้าใจว่าพม่าคงจะต้องทำลายวัดด้วย เพราะค่ายเมืองถลางกับวัดพระนางสร้างอยู่ในบริเวณเดียวกัน เราก็คงทราบถึงความทารุณของทหารพม่าต่อพระสงฆ์วัดวาอารามมามาก ต่อมาเมื่อถามถึงวัดนี้ว่าใครเป็นคนสร้าง ผู้ที่อยู่ในวัดเห็นจะต้องผูกเป็นตำนานขึ้นมาเล่าสืบกันมาว่า ผู้สร้างวัดนี้คือ “พระนางเลือดขาว” ได้สร้างไว้ เล่ากันมาว่า พระนางเลือดขาวเป็นมเหสีของเจ้านคร ต่อมาพระนางถูกกล่าวหาว่ามีชู้ เจ้านครให้ฆ่าเสีย พระนางจึงขออนุญาตไปนมัสการพระบรมธาตุเมืองลังกา เจ้านครจึง อนุญาต ด้วยกุศลของพระนางจึงได้ไปถึงเมืองลังกาและได้กลับมา ปรากฏว่า ในนครเกิดแย่งชิงกันครองเมือง เจ้านครถูกฆ่าตายเจ้านครองค์ใหม่เมื่อทราบเรื่องเดิมจึงให้นำนางไปประหารชีวิตเมื่อเพชณฆาตลงดาบตัดศีรษะ ปรากฏว่าเลือดที่พุ่งออกมานั้นเป็นสีขาว เลยได้ชื่อว่า “พระนางเลือดขาว” ส่วนวัดพระนางสร้างนี้พระนางได้สร้างไว้ตอนขากลับจากเมืองลังกา
จากประวัติวัดพระนางสร้างในอนุสารพุทธศาสตร์ได้กล่าวถึงเจ้าอาวาสรูปหนึ่งคือ ท่านพระครูสุนทรสมณกิจ (เขม ชาโต) หรือหลวงพ่อปอด ท่านเก่งทางการศึกษาเล่าเรียนและวิปัสสนาธุระท่านได้รวบรวมตำรายาแผนโบราณ และอื่น ๆ ไว้มาก และกล่าวกันว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เกรงขามแก่ชาวเมืองถลางมาก นับเป็นวัดสำคัญและเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต วัดนี้ตั้งอยู่ที่อำเภอถลาง ปัจจุบันมีท่านพระครูธรรมโกศลเป็นเจ้าอาวาส ชาวบ้านทั่วไปเรียกวัดนี้ว่า “วัดพระผุด” หรือวัดนาใน
วัดนี้มีตำนานเล่าสืบกันมาว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งนำควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนาในตอนเช้าวันหนึ่งแล้วเอาเชือกล่ามควายผูกไว้ที่ตอกลางทุ่งนั้น ให้มีเหตุเป็นไปทั้งควาย และเจ้าของควาย ชาวบ้านจึงหาสาเหตุก็พบว่าตรง ที่ชายหนุ่มเอาเชือกล่ามควายไปผูกไว้นั้นมิใช่เป็นตอไม้แต่เป็นลักษณะเป็นยอดรัศมีของพระพุทธรูป ชาวบ้านจึงช่วยกันก่อสร้างพระพุทธรูปรวมไว้ แต่แค่พระทรวง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ แต่ครั้งดำรงพระยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ได้เสด็จทอดพระเนตรทรงกล่าวไว้ว่า เมื่อชายคนกลับกลับไปดูตอที่ผูกควายไว้ปรากฏว่าเป็นยอดรัศมีพระพุทธรูปจึงทำสักการะตามสมควร กระบือก็หายไข้ มีผู้ขุดลงไปพบพระเศียรพระ แล้วมีใจศรัทธา ก่อพระพุทธรูปรวมพระผุดนี้ก่อด้วยอิฐปูนมีแต่พระเศียรกับองค์พระเพียงพระทรวงเพื่อให้ดูเหมือนขุดมาจากพื้นดิน
อย่างไรก็ตามชาวจีนเคารพนับถือพระผุดมากถึงวันตรุษจีนวันกินเจ มักพากันไปนมัสการเป็นประจำ เพราะถือว่า พระผุดองค์นี้เป็นพระที่มาจากเมืองจีนแล้วมาผุดที่วัดนี้ โดยแท้จริงแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระประธานในโบสถ์ แต่ปัจจุบันโบสถ์หลังนี้กำลังสร้างใหม่
ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดช เมื่อ พ.ศ. 2493 ได้จัดพิธีทำน้ำอภิเษก ณ วัดนี้ ประธานทางพระสงฆ์ คือ พระวิสุทธิวงศาจารย์ (เพรา พุทธสโร) เจ้าคณะจังหวัดภูเก็ต ประธานในพิธีคือนายอุดม บุญยประสพ ส่วนน้ำที่นำมาทำเป็นน้ำอภิเษกได้จากน้ำบนเขาโต๊ะแซะ และน้ำจากน้ำตกโตนไทร
นอกจากพระผุดแล้ว ทางวัดยังได้เก็บปืนใหญ่โบราณด้วย แต่เดิมมีเพียง 2 กระบอก ปัจจุบัน พบจากขุมเหมืองแถวบ้านดอนอีก 3 กระบอก นำมารวมไว้ และเจ้าอาวาสยังได้รวบรวมวัตถุโบราณเครื่องลายครามต่าง ๆเพื่อดำเนินการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ของวัดต่อไป
Amphoe Thalang
Chang Wat Phuket 83110